ปัจจุบันนี้ใครๆก็อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ซึ่งมีหลายประเภทธุรกิจที่ใครๆให้ความสนใจและหนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นธุรกิจความงามวงการบิวตี้แฟชั่น ที่ไม่ว่ายุคไหนการตลาดก็เดินหน้าต่อไม่แผ่วเลย ทำให้ใครหลายคนฝันหวานอยากจับธุรกิจเครื่องสำอาง เพราะต้องยอมรับการตลาดความงามในไทยเองก็เติบโตขึ้นทุกปี และสิ่งหนึ่งที่เป็นสินค้าขายง่าย ขายดี คืนทุนไวสร้างกำไรเร็ว คือ “ลิปสติก” เพราะอย่างที่เรารู้กันส่วนใหญ่แล้วว่า ลิปสติกเป็นไอเท็มคู่กายผู้หญิงทั่วโลกมาทุกยุคทุกสมัย และเมื่อสนใจจะผลิตลิปสติกแบรนด์ตัวเองจะต้องทำยังไงบ้าง เรามีขั้นตอนการทำแบรนด์ลิปสติกของตัวเองมาให้ผู้ที่สนใจได้คลายข้อสงสัยและได้เตรียมตัวดังต่อไปนี้ค่ะ
1.เก็บข้อมูลลิปสติก
เมื่อคิดจะทำธุรกิจอะไรก็ต้องหาข้อมูลในเรื่องนั้นเสียก่อน เพื่อจะได้เข้าใจได้ถึงเนื้อหาและแก่นแท้ของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ธุรกิจทําลิปสติกขายก็เช่นกัน จะต้องศึกษาการตลาด และหาข้อมูลเกี่ยวกับลิปมีชนิดใดบ้าง รูปแบบของลิปมีหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นลิปแท่ง ลิปมัน ลิปกลอส ลิปจิ้มจุ่ม เนื้อลิปแมท เนื้อลิปครีม ความแตกต่างระหว่างชนิดและเนื้อลิป คุณสมบัติลิปแต่ละชนิด สีลิปที่นิยมในท้องตลาด นวัตกรรมใหม่ๆของลิป เช่น ลิปแก้ปากคล้ำ ลิปจูบไม่หลุด ลิปแมท ลิปลอก ฯลฯ ซึ่งจะต้องหาข้อมูลทั้งแฟชั่นถาวรและเทรนด์ในขณะนั้น เพราะลิปบางประเภทสามารถวางขายได้ไปตลอด แต่ลิปบางชนิดเป็นแฟชั่นที่มีการหมุนเวียน จึงต้องทำความเข้าใจเพื่อที่จะได้รู้ว่าต้องการจับสินค้าตัวไหนเป็นธุรกิจหลัก และการที่เราเข้าใจได้อย่างถ่องแท้เราก็จะมั่นใจในการพรีเซนต์เมื่อทำการขาย
2.เจาะตลาดกลุ่มผู้ซื้อ
ทำการตัดสินใจว่าต้องการจะเจาะตลาดผู้บริโภคกลุ่มไหน เพื่อจะได้ผลิตสินค้าให้ตรงกับกลุ่มลูกค้า หรือทำสินค้าแบบตามใจที่ตัวเองชอบก่อนเป็นหลักแล้วค่อยเจาะกลุ่มตลาดแบบเดียวกับตน และจะต้องทำการศึกษากลุ่มลูกค้าที่เราต้องการขายของด้วย เช่น หากกลุ่มลูกค้าของเราเป็นวัยทำงานช่วงอายุ22-35ปี เป็นวัยที่มีกำลังในการซื้อแล้ว สามารถตั้งราคาได้ที่เหมาะสม เป็นลิปสติกสีสดใสแต่ก็ดูสุภาพ สามารถทาไปทำงานได้แบบ everyday look แพ็กเกจดูเรียบสวย พกพาสะดวก หรือถ้าเป็นกลุ่มวัยรุ่น ก็อาจต้องตั้งราคาที่ถูกลงมาและแพ็กเกจที่น่ารักสดใส มีลูกเล่นน่ารัก สีสดใสสมวัย เป็นต้น
3.เลือกโรงงานผลิตที่ได้มาตรฐาน
ด้วยใครๆก็อยากมีแบรนด์สินค้าเป็นธุรกิจของตัวเอง ยิ่งปัจจุบันใครก็สามารถทำแบรนด์ได้ง่าย ทำให้มีโรงงานoemลิปสติกและเครื่องสำอางที่รับผลิตเครื่องสำอางและลิปต่างๆ อย่างรับผลิตลิปบาล์ม รับผลิตลิปสติกออแกนิค รับผลิตครีม ฯลฯ เพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะมาก ดังนั้นควรทำการศึกษาข้อมูลของโรงงานให้ดีก่อนว่ามีมาตรฐานการผลิตรองรับหรือไม่ เพราะหากคุณได้โรงงานผลิตลิปที่มีประสิทธิภาพ ก็จะได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ นั่นจะช่วยให้แบรนด์คุณประสบความสำเร็จและเติบโตได้เร็ว
4.เลือกรูปแบบและสูตรทําลิปสติก
โดยปกติโรงงานรับสร้างแบรนด์ลิปสติกจะมีสูตรตัวอย่างให้ลูกค้าที่ต้องการสั่งทําลิปสติกได้ทดลองก่อน หากลูกค้าชอบก็สามารถเข้าสู่กระบวนการผลิตลิปได้เลย แต่ถ้าลูกค้าไม่ชอบและต้องการสูตรลิปใหม่ที่ไม่ซ้ำใคร หากเป็นโรงงานทําลิปสติกแบบOEMและODM ก็สามารถปรึกษากับฝ่ายทีมวิจัยและนักวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางเพื่อคิดค้นให้ได้สูตรตามที่ลูกค้าต้องการ
5.บรรจุภัณฑ์
แพ็กเกจจิ้งที่สวยงามเป็นที่สะดุดตาเมื่อแรกเห็น ก็เหมือนกับรักแรกพบ ที่เห็นครั้งแรกก็ตกหลุมรัก และยิ่งเมื่อใช้แล้วมีคุณภาพดี สวยถูกใจกับผู้ใช้ ก็ต้องยิ่งตกหลุมรักและถอนตัวไม่ขึ้น จนต้องกลับไปใช้ซ้ำอยู่เสมอ เพราะปกติแล้วผู้หญิงก็มักจะมีลิปมากกว่า1แท่งแน่นอน เดี๋ยวนี้แพ็กเกจลิปสติกไม่ได้จำกัดเพียงแค่ในรูปแบบแท่งอีกต่อไป แต่ผลิตออกมาหลากหลายแบบเพื่อให้เป็นที่สะดุดตาและสะดวกในการพกพา หยิบง่ายใช้สะดวก เช่น การทำลิปซอง การทำแพ็กเกจรูปหัวใจ ทำเป็นรูปอีโมจิความรู้สึกต่างๆ บางคนก็ชอบที่จะซื้อเก็บสะสมเป็นคอลเลกชั่น ผู้สั่งผลิตลิปสติกสามารถปรึกษากับฝ่ายดีไซน์ของโรงงานเพื่อหาข้อสรุปเพื่อให้ได้รูปแบบแพ็กเกจให้ตรงกับใจคุณและเทรนด์ของตลาด
6.ชื่อแบรนด์
การที่มีชื่อแบรนด์หรือ Branding จะเป็นสิ่งยืนยันความมีตัวตนและเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ และทำให้เป็นที่รู้จัก เมื่อคุณพูดถึงของสิ่งๆหนึ่งที่ไม่มีชื่อแบรนด์ ผู้ฟังอาจจะนึกไม่ออกกว่าคุณหมายถึงสิ่งไหน แบรนด์จึงเป็นการระบุเจาะจงผลิตภัณฑ์ เหมือนชื่อของคนเรานั่นเอง แต่การตั้งชื่อแบรนด์ที่ดีควรสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ จะทำให้จดจำได้ง่าย เป็นที่รู้จักได้อย่างรวดเร็ว และเป็นส่วนที่สร้างความสัมพันธ์ของคุณกับกลุ่มลูกค้า นอกจากนี้แบรนด์ยังเหมือนเป็นการสร้างอัตลักษณ์ของแบรนด์ช่วยให้ฝ่ายออกแบบในส่วนต่างๆสามารถดีไซน์ไปในทิศทางเดียวกัน และคุณรู้ไหมว่า ชื่อแบรนด์สามารถสร้างมูลค่าให้กับบริษัทหรือเจ้าของแบรนด์ได้ เมื่อแบรนด์เป็นที่รู้จักและติดตลาด ดังนั้นการสร้างแบรนด์ลิปดีๆจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม สามารถทำการปรึกษากับฝ่ายดีไซน์หรือผู้เชี่ยวชาญของโรงงานผลิตเครื่องสำอางที่คุณทำการจ้างผลิต
7.ทดสอบผลิตภัณฑ์ก่อนทำการขาย
การทําลิปสติกจะต้องตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์ สี กลิ่น และคุณสมบัติ รวมไปถึงผลข้างเคียงที่จะต้องไม่มีแม้จะใช้ไปในระยะเวลานาน ดังนั้นควรทำการทดสอบเพื่อหาข้อบกพร่อง จุดเด่นจุดด้อย หากเนื้อแห้งไป สียังไม่ถูกใจ จะได้ทำการปรับปรุงสูตรจนกว่าจะเป็นที่พอใจก่อนที่จะนำจำหน่าย ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบจะสามารถเป็นที่ยอมรับจากกลุ่มลูกค้าได้อย่างยั่งยืน
8.วางแผนการตลาด
จะต้องมีการวางแผนและเตรียมในเรื่องของการตลาดไว้พร้อม เพื่อที่สามารถดำเนินการได้ทันทีหลังจากขั้นตอนการผลิตลิปเสร็จเรียบร้อย โดยส่วนใหญ่โรงงานจะมีฝ่ายการตลาดที่คอยช่วยลูกค้าทำแบรนด์ลิปสติก ซึ่งการกำจัดความของการวางแผนการตลาด คือ ใคร ที่ไหน เท่าไร อย่างไร จะต้องดูกลุ่มเป้าหมายที่สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์เป็นหลัก เพราะเมื่อรู้กลุ่มเป้าหมายแล้วก่อนทำการผลิต ดังนั้นข้อนี้จึงจะต้องดูว่า จะทำการตลาดช่องทางไหน ตลาดทางออนไลน์ มีหน้าร้าน หรือขายบนโซเชียล และจะขายราคาเท่าไร เช่น ทําลิปกลอสขายวัยนักศึกษาก็ต้องเป็นราคาที่สามารถซื้อได้ง่าย แพ็กเกจที่สวยสะดุดตา พกพาสะดวก สีสุภาพ อาจออกบูธหรือส่งร้านใกล้แหล่งสถาบันศึกษาที่สามารถหาซื้อได้สะดวก เป็นต้น
9.โฆษณาสินค้า
แน่นอนว่าการจะขายอะไรก็ตาม การที่ลูกค้าจะรู้จักแบรนด์เราได้ก็ต้องผ่านจากการโฆษณา ควรหมั่นโฆษณาบ่อยๆ อาจเป็นบนโซเชียลมีเดียต่างๆ การออกบูธ ป๊อบอัพงานแฟร์ หรือแม้แต่การโฆษณาแบบปากต่อปาก ซึ่งแน่นอนว่าในข้อนี้จะต้องมีการลงทุน ดูช่องทางการโฆษณาที่เงินทุนเอื้ออำนวย ดังนั้นเมื่อวางแผนการเงิน อย่าลืมที่จะต้องคำนวณเผื่อข้อนี้ด้วย
10.คำนวณค่าใช้จ่าย เพราะทุกธุรกิจจะต้องมีต้นทุนและงบประมาณเพื่อการดำเนินการผลิต ค่าโฆษณา ค่าทำการตลาด ค่าขอการรับรองจาก อย. ภาษีที่จะต้องจ่าย และการคำนวณกำไรที่คุณควรจะได้หลังจากหักจากต้นทุน เหมือนเป็นการทำบัญชีเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของรายรับรายจ่ายทั้งหมด และประเมินถึงความเป็นไปได้กับเงินทุนที่มี และยังเป็นการป้องกันงบประมาณบานปลาย
วิวัฒนาการของลิปสติก
ที่จริงแล้วลิปสติกไม่ได้เป็นเครื่องสำอางที่เพิ่งมีไม่นานนี้ แต่ถูกคิดค้นแต่งแต้มริมฝีปากคู่กับผู้หญิงมานานตั้งแต่ 5000 ปีที่แล้วในอารยธรรมสุเมเรียน ยุคที่หญิงเมโสโปเตเมียจะทาปากด้วยผลไม้เฮนน่า สนิมดิน แมลงต่างๆ และยังมีการนำอัญมณีมาบดเป็นผงเพื่อเพิ่มความระยิบระยับให้กับฝีปากของพวกเธอ และราชินีของชาวสุเมเรียนก็ใช้ตะกั่วขาวกวนจนเป็นยางผสมหินแดงที่บดละเอียดเพื่อเติมสีสันบนฝีปากพระนาง หรือชาวอียีปต์ที่ใช้เฉดสีม่วง สีดำ และสีแดงที่มาจากแมลงโคชินัลทาริมฝีปาก ในขณะที่พระนางคลีโอพัตราก็ใช้ส่วนปีกของแมลงปีกแข็งสีแดงสดบดจนละเอียดสำหรับทาปาก การที่หญิงชาวมองโกเลียนำขี้ผึ้งและไขมันสัตว์มาทาปากเพื่อป้องกันปากแห้งแตก คล้ายกับการทําลิปกลอสหรือบาล์ม และการนำผลเบอร์รี่สีแดงมาแต่งแต้มฝีปากเพื่อให้มีสีสันเหมือนเป็นการทำลิปสติก เรียกได้ว่าเป็นวิธีทําลิปสติกเองในยุคนั้นก็ว่าได้
อย่างในยุคกลางค.ศ.1500-1600 ช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่1 แห่งเมืองอังกฤษที่จำกัดลิปสีแดงเป็นสีเฉพาะสตรีชนชั้นสูงเท่านั้น หากเป็นหญิงทั่วไปทาสีแดงจะถูกหมายว่าเป็นหญิงโสเภณี กระทั่งปีค.ศ.1884 บริษัทน้ำหอมแห่งฝรั่งเศสได้ผลิตลิปสติกขายขึ้นมาครั้งแรก โดยวิธีทําลิปสติกจากธรรมชาติด้วยไขมันกวาง ขี้ผึ้งและน้ำมันละหุ่ง ที่ถูกห่อด้วยกระดาษผ้าไหมมาพร้อมกับพู่กันทาปาก จนต่อมาได้มีการพัฒนาลิปสติกบรรจุลงในภาชนะรูปทรงกระบอกเล็กๆเพื่อทาได้ง่ายขึ้นและพกพาได้สะดวกกว่าเดิมในปี ค.ศ.1915
มีการพัฒนาลิปสติกมาหลายสมัยแต่เป็นที่ยอมรับเป็นวงกว้างก็เมื่อยุคของดาราฮอลลีวู้ดอย่าง มาริลีน มอนโร และ อลิซาเบธ เทย์เลอร์ ที่มักจะปรากฏตัวด้วยลิปสติกสีสดขับผิวขาวผ่องของพวกเธอเสมอ ทำให้สาวๆในยุคนั้นก็ต้องการที่จะครอบครองลิปสติกเพื่อให้ได้สวยเด่นอย่างเช่นคนดัง และแน่นอนว่าเฉดสียอดนิยมก็จะต้องเป็นสีแดงเข้มแบบมาริลีน มอนโร และ อลิซาเบธ ซึ่งการสำรวจพบว่าเป็นสีที่นิยมถึง 60% ของสาวๆในปี 1950 เพราะให้ค่านิยมว่าลิปสติกสีแดงเป็นตัวแทนแห่งความเซ็กซี่ ส่งผลให้มีการผลิตลิปสติกสีแดงออกมาวางจำหน่ายมากกว่าสีอื่น จนเข้าสู่ปี 1960 และ 1970 จึงเริ่มมีลิปสติกสีอื่นๆออกมาจำหน่าย
ไทยเราเองก็มีการทําลิปสติกจากธรรมชาติในการแต่งแต้มสีปากในสมัยโบราณเรียกว่า ชาดทาปาก ที่มีวิธีทำลิปสติกจากผลไม้และสมุนไพร อย่างชาดสีแดงก็จะทำจากกุหลาบและมะนาว เป็นลิปสติกทําเองแบบออแกนิคที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยวิธีทําลิปสติกเองยุคนั้นก็ไม่มีเครื่องทําลิปสติกอะไรมากมาย จะเป็นการใช้กระดาษซึ่งเป็นวิธีทำลิปสติกแบบจีน ซึ่งเป็นการทําลิปสติกจากดอกกุหลาบแบบกระดาษ ที่เมื่อแม่หญิงใดต้องการแต่งแต้มสีปาก ก็จะหยิบกระดาษชาดทาปากออกมาแล้วบรรจงเม้มริมฝีปากกดลงบนกระดาษเพื่อให้ปากมีสีตามที่ต้องการ
ไม่เพียงแค่นั้นไทยเราเองก็มีสูตรทำลิปเองอย่างการทำลิปมันหรือลิปบาล์มแต่บ้านเราจะเรียกว่าสีผึ้งไว้ใช้ทาเพื่อกันริมฝีปากแห้งแตกในหน้าหนาว โดยการใช้ขี้ผึ้งกับน้ำมันมะพร้าวเป็นส่วนผสม ส่วนวิธีการทำก็ง่ายๆเพียงแค่นำสีผึ้งไปตั้งไฟให้ละลายแล้วค่อยๆเติมน้ำมันมะพร้าวลงไปทีละน้อย คนไปเรื่อยๆและดูว่ามีความนิ่มความแข็งที่เพียงพอในการทาริมฝีปากหรือยัง เมื่อได้ตามที่พอใจก็ปิดไฟแล้วปล่อยให้เย็นเล็กน้อยแล้วจึงตักลงใส่กลักหรือตลับสีผึ้ง สามารถเก็บไว้ได้นานหลายปี
เรียกได้ว่าลิปสติกเป็นผลิตภัณฑ์ความงามที่มีวิวัฒนาการและถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจากยุคสู่ยุค จนส่งต่อมาถึงผู้หญิงยุคปัจจุบัน ซึ่งต้องยอมรับว่าลิปสติกเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยที่ผู้หญิงยอมเสียเงินจ่ายและส่วนใหญ่จะไม่ได้มีลิปสติกเพียงแท่งเดียว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเครื่องสำอางเล็กๆอย่างลิปสติก จึงมียอดขายครองตลาดมาอย่างยาวนานและยังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อีก ถึงแม้ว่าจะสะดุดไปบ้างตามกระแสเศรษฐกิจในบางช่วง แต่ตราบใดที่ผู้หญิงยังคู่กับความงาม ธุรกิจลิปสติกก็ยังคงน่าสนใจและสามารถสร้างกำไรสำหรับผู้ที่ต้องการมีแบรนด์เป็นของตัวเอง
ข้อควรรู้ก่อนการทำแบรนด์ลิปสติกขาย
สำหรับผู้ที่ต้องการทําลิปสติกแบรนด์ตัวเองแต่ไม่มีโรงงานเอง เมื่อตัดสินใจและวางแผนเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็ต้องหาโรงงานเพื่อสั่งทําแบรนด์ลิป การเลือกโรงงานรับผลิตลิปสติกมีคุณภาพและมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะก็เหมือนได้พาร์ทเนอร์ที่ดีที่จะช่วยเสริมให้แบรนด์คุณมีคุณภาพและเติบโตได้อย่างมั่นคง เพราะถ้าลิปสติกผ่านการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐานอาจมีสารเคมีปนเปื้อน ส่งผลให้ผู้ใช้มีอาการแพ้ ปากแห้ง ลอก และอาจอันตรายถึงด้านอื่นๆเมื่อใช้ไปเวลานานๆ เรามาดูถึงวิธีการเลือกโรงงานให้มีมาตรฐานที่จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการลงทุนทําลิปสติกในแบบฉบับของคุณ ควรดูจากอะไรบ้าง …
เลือกโรงงานทําแบรนด์ลิปสติกอย่างไรให้ได้คุณภาพ
เมื่อคิดจะทําแบรนด์ลิปสติกของตัวเองสิ่งสำคัญในการทําแบรนด์ลิปสติกก็คือ การหาโรงงานที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ ไม่ว่าคุณจะมองหาโรงงานผลิตลิปแบบไหน โรงงานผลิตลิปบาล์ม โรงงานผลิตลิปสติกออแกนิค โรงงานรับผลิตลิปมัน ฯลฯ ก็มีวิธีเลือกโรงงานผลิตลิปสติกให้ได้คุณภาพดีดังต่อไปนี้
1.มาตรฐานของโรงงาน
ทำการตรวจสอบว่าโรงงานรับทําลิปสติกมีมาตรฐานรองรับโดยมาตรฐาน GMP ใช้วัดหลักเกณฑ์ในการผลิตว่ามีความสะอาดปลอดภัย ถูกสุขลักษณะตามหลักกระทรวงสาธารณสุข มีบุคลากรในโรงงานเป็นผู้เชี่ยวชาญโดยตรง มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านตรวจสอบดูแลทุกขั้นตอนในการผลิต มีการวิเคราะห์และวัดคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพก่อนออกจำหน่ายให้กับผู้บริโภค และต้องผ่านการรับรองโดยสำนักคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) เพื่อมั่นใจได้ว่าสินค้ามีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ และป้องกันปัญหาเรื่องการร้องเรียนสินค้าไร้คุณภาพในอนาคต
2.สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ได้ทุกประเภท
โรงงานสามารถผลิตสินค้าได้ตรงตามสเปคที่คุณต้องการ ทั้งในเรื่องของรูปลักษณะผลิตภัณฑ์ คุณสมบัติ และความเหมาะสมกับการใช้งาน ยิ่งถ้าเป็นบริษัทผลิตลิปสติกแบบครบเครื่อง สามารถผลิตลิปสติกได้ทุกประเภท ไม่ว่าลูกค้าจะต้องการทําแบรนด์ลิปกลอส ทําแบรนด์ลิปมัน ทําแบรนด์ลิปสติกออร์แกนิค ก็รับผลิตได้หมดโดยลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาไปหาโรงงานแต่ละประเภทให้เสียเวลา เพราะอย่างที่เรารู้กันแล้วว่าลิปสติกมีหลายแบบมากๆ ไม่ว่าจะเป็นลิปมัน ลิปจิ้มจุ่ม ลิปทินท์ ลิปbullet และสารพัดชนิดเนื้อลิปที่มีลักษณะและการใช้งานที่ต่างกัน ดังนั้นโรงงานควรมีหลากหลายประเภทการผลิต และมีระดับเกรดสินค้าให้เลือกได้ทั้งเกรดพรีเมียม เกรดระดับกลาง เพื่อรองรับผู้สร้างแบรนด์ที่อาจยังไม่มีทุนสูงมากนัก
3.มีทีมงานให้คำปรึกษาและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
โดยบริษัทรับผลิตเครื่องสําอางและทำแบรนด์ลิปต้องมีผู้รู้จริงคอยให้คำปรึกษา ไม่ว่าจะเป็น ทีมแพทย์ นักวิจัย เภสัชกร ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนัง คอยดูแลทุกขั้นตอนการผลิตตั้งแต่การวิจัยในแลปทำลิป ควบคุมมาตรฐานผลิตภัณฑ์ในห้องผลิตทุกขั้นตอนการทําลิปสติก เพื่อให้สินค้ามีคุณภาพที่แท้จริง รวมไปถึงมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านลิปสติกและทีมฝ่ายการตลาดมืออาชีพ คอยให้คำแนะนำเทรนด์ของลิปในท้องตลาดและความแตกต่างของลิปแต่ละประเภทเพื่อให้ผู้ที่ทําแบรนด์ลิปสติกของตัวเองสามารถเลือกให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการ เนื้อลิปแบบไหนมาแรง สีไหนกำลังอินเทรนด์ ซึ่งลิปสติกที่ทาง IU-COSMED GROUP มีให้เลือกดังต่อไปนี้

เนื้อ VELVET MATTE เนื้อลิปบางเบาดุจกำมะหยี่ มีสารสกัดจากธรรมชาติ ช่วยบำรุงริมฝีปากให้นุ่มชุ่มชื่น เม็ดสีแน่น ให้สีชัด ช่วยปกปิดสีริมฝีปาก ติดทนนาน ให้ริมฝีปากที่น่าดึงดูด มีเสน่ห์ และมั่นใจทุกครั้งที่ทาผลิตภัณฑ์

เนื้อ PERFECT MATTE ลิปเนื้อลิควิดที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ บำรุงริมฝีปากให้นุ่มชุ่มชื่น ให้ริมฝีปากอิ่มฟู น่าจูบ เม็ดสีแน่นชัด ติดทนนาน กลบปากดำคล้ำเสียได้เนียนสนิท ไม่ทำให้ปากแห้งและเป็นขุย

เนื้อ VELVET TINT เนื้อลื่นนุ่มละมุน เกลี่ยง่ายทาง่าย เนื้อลิปชุ่มชื้นไม่ทำให้ปากแห้งเป็นขุย บางเบา สบายปาก สีชัดติดทน ให้ลุคที่ดูเป็นธรรมชาติเหมาะกับสาวสายเกา

เนื้อ JELLY LIP TINT เนื้อลิปสัมผัสบางเบา สีสันสดใส ติดแน่นทนนาน ดูเป็นธรรมชาติ นิยมใช้ทาคู่กับลิปกลอสเพื่อเพิ่มความแวววาวอิ่มน้ำให้ริมฝีปาก อาจจะกลบสีปากเดิมได้ไม่มิดเท่ากับลิปสติก

เนื้อ TINT OIL เนื้อลิปมีเนื้อคล้ายกับกลอส เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก ทาง่ายไม่เหนียวเหนอะหนะ เนื้อเนียนนุ่ม ดูเป็นธรรมชาติ สีสันสวยงาม มีความฉ่ำวาว

เนื้อ LIP GLOSS เนื้อฉ่ำวาว สามารถทาเป็น Top Coat ได้ เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก บางเบา ทาง่าย เนื้อเนียนนุ่ม ดูเป็นธรรมชาติ สีสันสวยงาม มีความแวววาว เหมาะกับสาวๆที่ไม่ชอบแต่งหน้าเยอะ

เนื้อ BABY LIP GLOW BALM เนื้อบาล์มเบาสบายมาก มีสีสันระเรื่อเป็นธรรมชาติ ช่วยบำรุงให้ปากอ่อนนุ่ม ชุ่มชื้นยาวนาน ให้ริมฝีปากเนียนนุ่มน่าสัมผัส ไม่แห้งแตกหรือเป็นขุย

เนื้อ SHEABUTTER SOFT BALM เนื้อบาล์มที่มีส่วนผสมจากเชียร์บัตเตอร์ ช่วยบำรุงและฟื้นฟูริมฝีปากให้ชุ่มชื้นอย่างอ่อนโยน ดูอิ่มเอิบ มีสีสันเป็นธรรมชาติ ไม่แห้งแตกเป็นขุย

เนื้อ HYDRATING JELLY TINT BALM ลิปเนื้อสัมผัสของบาล์มเหมือนเนื้อทินท์ ให้สีสันสดใสและชัดเจนเหมือนทินท์ บำรุงฝีปากอวบอิ่ม นุ่มชุ่มชื้น ไม่แห้งแตก ไม่เป็นขุย

เนื้อ PLUMPING COLOR BALM ลิปบาล์มเนื้อนุ่มละมุน ช่วยบำรุงริมฝีปากให้อ่อนนุ่ม ชุ่มชื้นตลอดวัน ไม่แห้งแตก ไม่เป็นขุย
4.คุณภาพของวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์
ถ้าผู้รับผลิตลิปมีความเชี่ยวชาญนำวัตุดิบที่ใช้เป็นสารประกอบทําลิปสติกมีคุณภาพ คุณจะได้ผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจ ทั้งในเรื่องการคงตัวของลิป เนื้อสัมผัส สี กลิ่น ให้ความชุ่มชื่น มีสารบำรุงช่วยฟื้นฟูริมฝีปากและมีความปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายและผลข้างเคียงใดๆกับผู้บริโภค จะเป็นสิ่งที่การันตีแบรนด์ของคุณให้อยู่ในตลาดบิวตี้ได้นานกว่าของที่ไร้คุณภาพที่อาจมาแรงแต่ดับเร็ว
5.มีการพัฒนาและคิดค้นสูตรใหม่ๆอยู่เสมอ
มีการนำสารประกอบคุณภาพหลากหลายมาผสมผสานด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัยและพัฒนาอยู่เสมอ จนได้นวัตกรรมลิปสติกสูตรใหม่ที่ไม่ซ้ำกับแบรนด์อื่น โรงงานรับทําแบรนด์ลิปสติกที่มี R&D มักจะมีการวิจัยและพัฒนาสูตรอยู่เสมอเพื่อให้ทันกับวงการบิวตี้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และตอบรับโจทย์หากลูกค้าต้องการปรับสูตรและเพิ่มตัวผลิตภัณฑ์อื่นเพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว
6.บริการครบวงจร
โรงงานรับทําลิปสติกแบบ one stop service ที่เป็น OEM ผลิตตามสูตรลูกค้าและ ODM ที่คิดสูตร-ทำการวิจัยและออกแบบกระบวนการผลิต ออกแบบแพ็กเกจให้ตรงกับคอนเซ็ปต์ วิเคราะห์ตั้งชื่อแบรนด์ให้ผ่านการอนุมัติ อย. ตลอดไปจนถึงการแจ้งจดทะเบียน อย.ให้เสร็จสรรพทุกขั้นตอน ซัพพอร์ตแผนการตลาด บริการจัดส่งผลิตภัณฑ์แต่ละล็อตให้คุณถึงบ้าน ทำให้คุณประหยัดเวลาและการเดินทาง เรียกได้ว่าเป็นโรงงานลิปสติกแบบครบจบที่เดียว
7.กำหนดระยะเวลาการผลิตได้ชัดเจน
โรงงานจะต้องสามารถวางแผนระยะเวลาขั้นตอนการผลิตลิปสติกและจัดส่งจำหน่ายได้ชัดเจน ตรงตามกำหนด เพราะถ้ามีการผิดพลาด อาจส่งผลให้แผนการตลาดของคุณมีความคลาดเคลื่อนไปด้วย เช่น การกำหนดวันเปิดตัวสินค้า การส่งมอบสินค้าให้กับตัวแทนขาย(กรณีมีตัวแทนขาย) หรือเมื่อแบรนด์ติดตลาดและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค จะต้องมีการผลิตเพิ่มได้ทัน เพราะไม่อย่างนั้นจะทำให้สินค้าขาดตลาด ผู้บริโภคไม่สามารถหาซื้อสินค้าได้ก็อาจไปหาซื้อสินค้าแบรนด์อื่น รวมถึงตัวแทนขายอาจเปลี่ยนไปหาผลิตภัณฑ์อื่นขายแทน ทำให้คุณสูญเสียรายได้ไปอย่างน่าเสียดาย
แน่นอนว่าใครๆก็อยากเป็นเจ้าของธุรกิจและอยากมีแบรนด์ลิปสติกเป็นของตัวเอง แต่จะทำอย่างไรให้การลงทุนในธุรกิจของคุณเป็นไปอย่างคุ้มค่า IU-COSMED GROUP อยู่ในวงการธุรกิจกลุ่มความงามและเป็นตัวจริงแห่งโลกของลิปสติก ที่สั่งสมประสบการณ์มากว่า 7 ปี ย่อมเข้าใจถึงปลายทางที่นักธุรกิจด้วยกันต้องการไปให้ถึง เราจึงพร้อมที่จะเริ่ม Start Business ไปด้วยกันกับลูกค้าและเติบโตไปพร้อมกับแบรนด์ของลูกค้าจนกว่าจะเห็นความสำเร็จ เพราะเราไม่ได้เป็นแค่ผู้รับจ้างผลิต แต่เราเป็นคู่คิดให้กับธุรกิจคุณ